บริการ e-KYC คืออะไร ? ทำไมธุรกิจยุคดิจิทัลต้องใช้

4

ในยุคที่ธุรกิจส่วนใหญ่เปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล “การยืนยันตัวตน” กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยสร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทประกัน สถาบันการเงิน หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ บริการ e-KYC (Electronic Know Your Customer) ที่เข้ามาช่วยให้ขั้นตอนการยืนยันตัวตนทำได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น

บริการ e-KYC

e-KYC คืออะไร ?

คำว่า KYC ย่อมาจาก Know Your Customer หรือ “รู้จักลูกค้าของคุณ” ซึ่งเป็นกระบวนการที่ธุรกิจต้องตรวจสอบและยืนยันตัวตนของลูกค้าก่อนให้บริการ เพื่อป้องกันการฟอกเงิน การฉ้อโกง หรือการปลอมแปลงตัวตน ส่วน e-KYC คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาแทนกระบวนการแบบเอกสาร เช่น การส่งสำเนาบัตรประชาชนหรือใบหน้าให้เจ้าหน้าที่ตรวจด้วยตนเอง

ระบบ e-KYC จะใช้เทคโนโลยี เช่น การสแกนใบหน้า (Face Recognition), การตรวจสอบเอกสารอัตโนมัติ (OCR), และการยืนยันข้อมูลผ่านฐานข้อมูลของภาครัฐหรือธนาคาร เพื่อให้สามารถตรวจสอบตัวตนของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องเดินทาง

องค์ประกอบหลักของบริการ e-KYC

การเก็บข้อมูลลูกค้า (Data Collection)

ลูกค้าจะอัปโหลดเอกสาร เช่น บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง ผ่านระบบออนไลน์ โดยข้อมูลจะถูกเข้ารหัสเพื่อป้องกันการรั่วไหล

การตรวจสอบเอกสาร (Document Verification)

ระบบจะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารโดยใช้ AI และเทคโนโลยี OCR เพื่อตรวจจับความผิดปกติ เช่น การปลอมแปลง หรือรูปภาพที่ไม่ตรงกับเอกสารจริง

การยืนยันตัวตนด้วยชีวมิติ (Biometric Verification)

เช่น การสแกนใบหน้า หรือสแกนลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันว่าผู้ใช้เป็นบุคคลเดียวกับเจ้าของเอกสารจริง

การเชื่อมต่อฐานข้อมูลกลาง (Database Matching)

ระบบ e-KYC บางบริการสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของภาครัฐ เช่น NDID หรือระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคาร เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยืนยันตัวตน

ประโยชน์ของบริการ e-KYC สำหรับธุรกิจ

  • ลดขั้นตอนการทำงานและค่าใช้จ่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารแบบแมนนวล ทำให้ธุรกิจประหยัดเวลาและทรัพยากร
  • เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูลและการยืนยันด้วยเทคโนโลยีชีวมิติช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกปลอมแปลงเอกสารหรือการสวมรอยตัวตน
  • สร้างความสะดวกให้ลูกค้า ผู้ใช้สามารถสมัครบริการหรือเปิดบัญชีได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา
  • รองรับกฎระเบียบสากล การใช้ e-KYC ยังช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

ธุรกิจใดบ้างที่ควรใช้บริการ e-KYC

  • สถาบันการเงินและธนาคารดิจิทัล เพื่อใช้ยืนยันตัวตนลูกค้าก่อนเปิดบัญชีหรือทำธุรกรรมออนไลน์
  • บริษัทประกันภัยและฟินเทค (FinTech) ใช้ในการสมัครกรมธรรม์ หรือบริการสินเชื่อออนไลน์ที่ต้องยืนยันข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้อง
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและมาร์เก็ตเพลส เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ขายและผู้ซื้อ ป้องกันการโกงหรือบัญชีปลอม
  • ธุรกิจโทรคมนาคม ใช้ยืนยันตัวตนผู้สมัครเปิดเบอร์โทรศัพท์หรือบริการใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว
  • หน่วยงานภาครัฐและองค์กรขนาดใหญ่ สำหรับการลงทะเบียนบริการภาครัฐออนไลน์ เช่น การทำใบขับขี่ดิจิทัล หรือบริการภาษีออนไลน์

แนวโน้มของ e-KYC ในอนาคต

เทคโนโลยี e-KYC ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้าน AI และ Machine Learning ที่จะช่วยให้ระบบตรวจจับการปลอมแปลงได้แม่นยำขึ้น รวมถึงการผสานกับเทคโนโลยี Blockchain เพื่อยกระดับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้สูงขึ้นอีกขั้น นอกจากนี้ แนวโน้มของรัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ก็กำลังสนับสนุนให้หน่วยงานและภาคเอกชนใช้บริการ e-KYC อย่างแพร่หลาย เพื่อผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างยั่งยืน

บริการ e-KYC ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือยืนยันตัวตน แต่ยังเป็นรากฐานของความปลอดภัยในโลกดิจิทัล ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับลูกค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังมอบประสบการณ์ที่สะดวกและไร้รอยต่อให้กับผู้ใช้งาน หากองค์กรใดกำลังมองหาแนวทางปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นใจ e-KYC คือเทคโนโลยีสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม